รีวิวหนัง A Working Man (2025) นรกหยุดนรก หลังจากที่เคยสร้างปรากฏการณ์หนังแอคชันชวนเซอร์ไพรส์ไปทั่วโลกกับ The Beekeeper ในปี 2024 “เดวิด เอเยอร์” และ “เจสัน สเตแธม” ก็กลับมาผนึกกำลังกันอีกครั้งในภาพยนตร์แอคชันเรื่องใหม่ A Working Man นรกหยุดนรก ที่ยังคงกลิ่นอายของความดิบ เถื่อน และมันส์ระห่ำเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน หนังเรื่องนี้ได้
หยิบเอาโครงเรื่องคลาสสิกของ “อดีตสายลับกลับมาทวงคืนความยุติธรรม” มาผสมผสานกับความเข้มข้นของโลกใต้ดิน และพลังดิบของพระเอกที่ยากจะมีใครเทียบได้นอกจากการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยจังหวะเร้าใจและฉากแอคชันสุดเดือดแล้ว หนังยังมีจุดขายสำคัญคือการแสดงของเจสัน สเตแธม ที่ยังคงรักษามาตรฐานความมันส์สายแข็งเอาไว้ได้อย่างไม่ตกหล่น ถึงแม้
โครงเรื่องจะไม่แปลกใหม่ แต่การตีความและการถ่ายทอดผ่านภาพและการแสดงยังคงทำให้คนดูรู้สึกสะใจและอินไปกับตัวละครที่ต้องกลับไปสู่นรกที่เขาพยายามหนีให้พ้น A Working Man นรกหยุดนรก คือการกลับมาอีกครั้งของแนวหนังแอคชันสไตล์ฮาร์ดคอร์ที่ไม่เน้นความซับซ้อน แต่อัดแน่นด้วยความบันเทิงแบบถึงลูกถึงคน เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คอหนังบู๊ไม่ควรพลาด
โดยเฉพาะแฟน ๆ ของเจสัน สเตแธม ที่รอชมบทบาทพระเอกพันธุ์ระห่ำในรูปแบบที่เขาถนัดและทำได้ดีที่สุด ดูหนัง A Working Man (2025)

เรื่องย่อ: A Working Man (2025) นรกหยุดนรก
เลวอน (รับบทโดย เจสัน สเตแธม) คืออดีตเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับระดับพระกาฬ ที่ตัดสินใจละทิ้งอดีตอันโหดเหี้ยมไว้เบื้องหลัง เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างสงบสุขในฐานะคนงานก่อสร้างธรรมดา ๆ และพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องการดูแลลูกสาวของเขาให้เติบโตอย่างปกติสุข
แต่แล้วทุกอย่างกลับพลิกผัน เมื่อ เจนนี่ ลูกสาวของเจ้านายเขาถูกลักพาตัวไปอย่างลึกลับ และไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร เลวอนจึงจำเป็นต้องฝืนคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง กลับไปใช้ทักษะสังหารที่เขาซ่อนไว้มานาน เริ่มต้นภารกิจค้นหาเจนนี่ในเงามืดขององค์กรอาชญากรรม
การสืบหาความจริงได้นำเลวอนไปสู่เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ที่เต็มไปด้วยการค้ามนุษย์ แก๊งมาเฟียรัสเซีย และการทุจริตของคนในอำนาจ เขาต้องฝ่าฟันทั้งอุปสรรคและอันตราย ด้วยสัญชาตญาณนักล่าและทักษะการต่อสู้ระดับมือพระกาฬ พร้อมเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น
ในโลกที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรมและเลือด เลวอนต้องกลายเป็น “นรก” เพื่อหยุด “นรก” ที่แท้จริง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

นักแสดงนำในภาพยนตร์ นรกหยุดนรก
เจสัน สเตแธม รับบท เลวอน
อดีตสายลับมือพระกาฬที่พยายามใช้ชีวิตใหม่อย่างสงบสุข ก่อนจะถูกดึงกลับเข้าสู่โลกอาชญากรรมเพื่อช่วยเหลือลูกสาวของเจ้านายที่หายตัวไป
เดวิด ฮาร์เบอร์ รับบท เบรนแดน
หัวหน้าไซต์ก่อสร้างที่กลายเป็นผู้ขอความช่วยเหลือจากเลวอน เมื่อลูกสาวของเขาถูกลักพาตัว
ไมเคิล เพนา รับบท เจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษลอว์เรนซ์
เจ้าหน้าที่ผู้เข้ามาร่วมไขคดี แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับโลกมืดที่เขาไม่เคยคาดคิด
เจสัน เฟลมมิง รับบท วลาดิเมียร์
ตัวร้ายหลักของเรื่อง ผู้อยู่เบื้องหลังแผนการค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ
มาซิมเลียน โอซินสกี รับบท บอริส
มือสังหารรัสเซียสุดโหด ที่ถูกส่งมาจัดการเลวอน
อารีอานา รีแวส รับบท เจนนี่
ลูกสาวของเบรนแดน ผู้เป็นชนวนเหตุของภารกิจเดือดครั้งนี้

รีวิวหนัง A Working Man นรกหยุดนรก
โดยรวม: หนังบู๊สุดระห่ำที่อัดแน่นด้วยความดิบ เถื่อน และซื่อสัตย์ต่อสูตรสำเร็จ
ในโลกของภาพยนตร์แอคชันที่แทบจะเต็มไปด้วยสูตรซ้ำและความคาดเดาได้ยาก การกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งระหว่างผู้กำกับจอมระห่ำอย่าง เดวิด เอเยอร์ กับนักแสดงสายบู๊ตัวพ่ออย่าง เจสัน สเตแธม ถือเป็นการโคจรที่แฟนหนังแอคชันหลายคนเฝ้ารอ โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาสร้างปรากฏการณ์ไว้ใน The Beekeeper (2024) จนเป็นที่กล่าวขาน ปี 2025 นี้ ทั้งสองกลับมาอีกครั้งกับ A Working Man นรกหยุดนรก ที่ยังคงรักษากลิ่นอายของความระห่ำและเข้มข้นเอาไว้อย่างครบถ้วน
พล็อตเรื่องที่อาจจะไม่สดใหม่ แต่ยังโดนใจ
A Working Man ไม่ได้พยายามซับซ้อนหรือล้ำลึกอะไรนัก เรื่องราวของ เลวอน อดีตสายลับฝีมือดีที่วางมือจากภารกิจลับและหันมาใช้ชีวิตเรียบง่ายในไซต์ก่อสร้าง เพื่อจะได้เป็นพ่อที่ดีให้กับลูกสาวของเขา ทว่าความสงบไม่เคยคงอยู่ได้นาน เมื่อลูกสาวของหัวหน้าเขาถูกลักพาตัวไป เขาจึงต้องดึงสัญชาตญาณนักฆ่ากลับมาใช้ เพื่อไขปริศนาและตามล่าคนร้ายให้ได้ในที่สุด แม้พล็อตจะฟังดูเหมือนหนังบู๊ยุค 80s–90s แต่ก็ถูกนำเสนอในสไตล์ที่ทันสมัยและเร้าใจ
เจสัน สเตแธม: ตำนานความมันที่ยังไม่หมดไฟ
ไม่มีใครเหมาะกับบทนี้ไปมากกว่า เจสัน สเตแธม อีกแล้ว การแสดงของเขาในเรื่องนี้ยังคงทรงพลัง เต็มไปด้วยความดุดัน เฉียบคม และสมจริงในฉากต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการไล่ล่าผ่านซอยแคบ ๆ หรือฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบสุดเดือด เขาทำได้อย่างมืออาชีพ และน่าติดตามอย่างมาก
แม้บทจะไม่มีอะไรให้เขาได้แสดงฝีมือด้านอารมณ์มากนัก แต่การแบกหนังทั้งเรื่องไว้บนบ่าของเขานั้น ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม เป็นตัวอย่างของนักแสดงที่เข้าใจบทบาทและรู้ว่าคนดูอยากเห็นอะไรจากเขา

องค์ประกอบงานสร้างและเทคนิคภาพ: ถึงแม้ไม่เนี้ยบ แต่ตอบโจทย์ความบู๊
การกำกับของ เดวิด เอเยอร์ ยังคงเน้นความจริงจังและดิบเถื่อน การใช้แสง สี และมุมกล้องให้อารมณ์แบบขึงขัง เคร่งเครียด มีมุมแปลกตาในบางฉากที่อาจดูหลุดโทนบ้าง แต่ก็ไม่ได้รบกวนการชมมากนัก งานเทคนิคโดยรวมถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานของหนังแอคชันฟอร์มกลาง ที่ไม่หวังรางวัลแต่อยากมอบความมันส์ให้ผู้ชมเต็มที่
นักแสดงสมทบ: กลืนหายไปกับเงาของพระเอก
แม้ว่าจะมีนักแสดงสมทบอย่าง เดวิด ฮาร์เบอร์, ไมเคิล เพนา หรือ เจสัน เฟลมมิง ที่มีฝีมือดีในวงการ แต่ในเรื่องนี้กลับไม่ค่อยมีโอกาสได้เปล่งแสงเท่าไร เนื่องจากบทหนังเน้นหนักไปที่ตัวของเลวอนเพียงคนเดียว จึงทำให้ตัวละครอื่น ๆ กลายเป็นแค่ฟันเฟืองประกอบฉากเท่านั้น
บทภาพยนตร์: ธรรมดา แต่ยังดูสนุก
บทภาพยนตร์ที่ร่างขึ้นโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ก็พอจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่า จะเต็มไปด้วยความเก๋าแบบยุคเก่า มีความคลาสสิกของหนังบู๊อเมริกันที่เน้นชายเดี่ยวฮีโร่ต่อกรกับองค์กรร้าย บทอาจจะมีความจำเจ ไม่ได้เสนออะไรใหม่ ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อเสียสำหรับแฟน ๆ ที่ชื่นชอบสไตล์เดิม ๆ แบบนี้
เป็นหนังแอคชันที่ไม่มีอะไรสดใหม่หรือแปลกตา แต่ยังคงความสนุกและเร้าใจในแบบที่คอหนังบู๊ต้องการ เป็นหนังที่ดูง่าย ไม่ต้องคิดเยอะ และเหมาะกับการนั่งดูยามค่ำคืนหลังเลิกงาน หากคุณเป็นแฟนของเจสัน สเตแธม หรือชื่นชอบความมันแบบคลาสสิก หนังเรื่องนี้ก็พร้อมตอบโจทย์คุณอย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีบาดแผลบางจุดในแง่บทและการเล่าเรื่อง แต่ความมันส์ที่ได้ก็ถือว่าคุ้มค่าไม่เบา

การดำเนินเรื่องของหนัง นรกหยุดนรก
เป็นไปตามสูตรสำเร็จของหนังแอคชันที่เน้นความดุดัน รวดเร็ว และตรงประเด็น ด้วยการเล่าเรื่องแบบ เส้นตรง (Linear) ที่ไม่ซับซ้อน เปิดเรื่องมาด้วยการแนะนำตัวละครเอก “เลวอน” อดีตเจ้าหน้าที่ลับที่พยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบสงบเรียบง่ายในวงการก่อสร้าง ก่อนที่จุดเปลี่ยนจะมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อ “เจนนี่” ลูกสาวของเจ้านายถูกลักพาตัวไปอย่างลึกลับ
จากนั้นหนังก็พาคนดูเข้าสู่โลกของการสืบสวน ไล่ล่า และเอาคืน โดยใช้จังหวะเร้าใจตามแบบฉบับของ David Ayer และอารมณ์เดือดแบบ “เจสัน สเตแธม” เป็นแกนหลักในแต่ละฉาก แทบไม่มีช่วงยืดเยื้อ ทุกฉากคือการขับเคลื่อนให้พล็อตเดินหน้าเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
การวางเรื่องเน้นการ ไต่ระดับความตึงเครียด จากจุดเริ่มต้นธรรมดา ๆ สู่โลกใต้ดินอาชญากรรมข้ามชาติที่เต็มไปด้วยตัวละครลับ ไม้เด็ด และความรุนแรงที่ทวีขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงฉากไคลแมกซ์ที่พระเอกต้องเผชิญหน้ากับตัวร้ายและทางเลือกที่ไม่มีทางถอย
แม้พล็อตจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่วิธีเล่าเรื่องที่เน้นความ เข้มข้น กระชับ และดุดัน ก็ทำให้ผู้ชมไม่เบื่อ และมีอารมณ์ร่วมไปกับภารกิจของตัวละครได้อย่างต่อเนื่อง
หากคุณเป็นคนที่ชอบหนังบู๊สไตล์ “ยิง-ระเบิด-ล้างบาง-ชำระแค้น” แล้วล่ะก็… การดำเนินเรื่องของ A Working Man จะตอบโจทย์แบบตรงจุดเลยล่ะครับ
อยากให้เจาะลึกด้านไหนต่อไหมครับ เช่น จังหวะการเล่าเรื่อง, การตัดต่อ, หรือการเปิดเผยปมต่าง ๆ
สรุปหนัง รีวิวหนัง A Working Man
A Working Man คือหนังแอคชันสายระห่ำที่ยังคงกลิ่นอายแบบเดิม ๆ จากความร่วมมือของผู้กำกับ เดวิด เอเยอร์ และนักแสดงสายบู๊เบอร์ต้นของวงการอย่าง เจสัน สเตแธม ที่หวนคืนสู่บทบาทสายลับสุดโหดอีกครั้ง หลังจากเคยสร้างความประทับใจจาก “The Beekeeper” มาแล้วในปีก่อน
เรื่องราวเล่าถึง เลวอน อดีตเจ้าหน้าที่ภารกิจลับที่วางมือจากวงการเพื่อมาใช้ชีวิตอย่างสงบและทำงานสุจริตในบริษัทก่อสร้าง แต่เมื่อ “เจนนี่” ลูกสาวของหัวหน้าถูกลักพาตัวไป เขาก็ต้องกลับมาใช้ทักษะเก่า ๆ ในการตามหาความจริง และตามล่าเหล่าร้ายที่อยู่เบื้องหลังขบวนการอาชญากรรมอันชั่วร้าย
แม้โครงเรื่องจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เป็นเพียงพล็อต “อดีตนักฆ่าที่กลับมาล้างแค้น” แบบสูตรสำเร็จ แต่หนังก็ได้คุณภาพของทีมสร้าง การแสดงอันหนักแน่นของ เจสัน สเตแธม และฉากแอคชันที่โหด ดิบ เดือด มาเสริมให้กลายเป็นหนังที่ดูสนุก ดูมันส์ และเอาใจคอหนังแอคชันได้แบบเต็ม ๆ
จุดเด่นของหนังคือ การเล่าเรื่องกระชับ ฉากบู๊จัดเต็ม โปรดักชันแข็งแรง แต่จุดด้อยก็มีอยู่ไม่น้อย เช่น บทตัวประกอบที่ไม่เด่น และพล็อตที่เดาได้ง่าย ไม่มีหักมุมอะไรให้ตื่นเต้น
สรุปแล้ว A Working Man คือหนังแอคชันที่ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่มอบความบันเทิงได้ครบเครื่อง หากคุณชอบดูเจสัน สเตแธม ลุยเดี่ยวแบบถึงลูกถึงคน นี่คืออีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด!